เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพื่อหัวใจของเรานะ เราอุตส่าห์ขวนขวายมาวัดมาวาเพื่อเสียสละทาน ทาน ศีล ภาวนา ทาน ศีล ภาวนา ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ธรรมเป็นทาน ให้ธรรมเป็นทานเลิศที่สุด ให้ธรรมเป็นทานคือให้สติให้ปัญญาของคน เตือนคนให้มีสติปัญญา ให้รู้จักรักษาเอาตัวรอด อย่าให้เป็นเหยื่อของสังคม สังคมโหดร้าย
สังคมมาจากไหน สังคมมาจากมนุษย์ มนุษย์รวมกันเป็นสังคมขึ้นมาๆ ทุกคนเห็นแก่ตัว ทุกคนพยายามมือใครยาวสาวได้สาวเอา
แต่ถ้าคนมีสติปัญญานะ เราไม่ใช่คนโง่ เราไม่ใช่เหยื่อของเขา แต่เรามีสติปัญญาของเรา ถ้าเราเห็นใครตกทุกข์ได้ยาก เห็นใครที่ขาดตกบกพร่อง ถ้าเราจะเสียสละเพื่อบุญกุศลของเราเพื่อความสุขในสังคม เราทำด้วยสติด้วยปัญญา เราไม่ได้ทำด้วยความเป็นเหยื่อ เราต้องมีสติปัญญาของเรา พระพุทธศาสนาสอนอย่างนั้น เห็นไหม
เรามาวัดมาวากัน เรามาเสียสละทานๆ เรื่องของทาน ทาน เรื่องของวัตถุทานเป็นอามิสๆ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบอกพระอานนท์ไง “อานนท์ เธอบอกบริษัท ๔ นะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด”
แล้วปฏิบัติกันอย่างไรล่ะ การเสียสละทานนี่ก็เป็นการปฏิบัติอย่างหนึ่งนะ
เราต้องขวนขวายมา เราต้องแสวงหามาเป็นสมบัติของเรา สิ่งที่เราหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง คนที่มีสติมีปัญญานะ เขารู้จักรักษาของเขา
ในนวโกวาท ครอบครัวใดจะมั่นคงขึ้นมา ครอบครัวนั้นจะต้องรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักรักษาสมบัติของตน ของสิ่งใดที่ชำรุดเสียหาย รู้จักซ่อมแซมบำรุงรักษาเพื่อใช้ต่อไปๆ ไม่ใช่สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย
แล้วเราเสียสละทาน เสียสละทานมันตรงข้ามกับการประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักรักษาไหม มันยิ่งกว่าอีก ยิ่งกว่าเพราะอะไร เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา สิ่งที่มีค่าคือชีวิต มีค่าคือหัวใจของคน หัวใจของคนที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้ามันมีค่าขึ้นมามีสติปัญญาของมัน
สิ่งที่เราเสียสละ เสียสละเพื่อหัวใจดวงนี้ ถ้าเพื่อหัวใจดวงนี้ หัวใจที่มีคุณค่า หัวใจที่มีคุณค่าน่ะ แล้วสิ่งที่เสียสละมา เสียสละมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา เราขวนขวายมาด้วยความปากกัดตีนถีบเพื่อแสวงหาเป็นสมบัติของเรา แล้วมันต้องรู้จักประหยัดรู้จักมัธยัสถ์ รู้จักประหยัดมัธยัสถ์เพื่อฝึกหัดนิสัยของเราให้เป็นคนดี ให้รู้จักรักษาทรัพย์สมบัติของเรา ให้รู้จักรักษากิริยามารยาทของเรา รักษาแล้ว สิ่งที่เราเสียสละ เสียสละเพื่อหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้ถ้ามันรู้จักเสียสละ มันสละความตระหนี่ถี่เหนียว
คนเรารับฟังคนอื่นไม่ได้เลย กูแน่ กูแน่ กูแน่อยู่คนเดียวแหละ แต่การเสียสละ การรักษานี่แหละมันจะเปิดหัวใจให้ว่า เออ! เราเสียสละ เราฝึกหัดของเรา คนที่ทุกข์จนเข็ญใจ ถ้าเขาทุกข์เขายาก เราให้เขา เป็นเพราะอะไร ทำไม
นี่มันรู้จักไง รู้จักเปิดหัวใจของเรารับฟังคนอื่นบ้าง คนอื่นก็คนเหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะเราคนเดียว คนก็คนทั้งนั้นน่ะ แต่มันเป็นเวรกรรมของสัตว์นะ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเห็นสัตว์เดรัจฉาน อย่าไปดูถูกเหยียดหยามเขานะ เขาอาจจะเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดเป็นสัตว์ก็ได้
พระโพธิสัตว์แสวงชาติเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มีนะ แต่เวลากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การกระทำของเราเป็นเวรเป็นกรรมกันทั้งนั้นน่ะ แล้วเราจะไปเสวยภพเสวยชาติเอาภพชาติใด เราอย่าไปดูถูกดูแคลนแม้แต่สัตว์เดรัจฉานนะ เขาอาจเป็นพระโพธิสัตว์มาเสวยชาติก็ได้
สิ่งนี้เรารักษาของเรา เราดูแลของเรา ไปวัดไปวาเพื่อเหตุนี้ไง วันนี้วันพระ วันพระ พระเป็นผู้ที่ประเสริฐ ประเสริฐที่ไหน ประเสริฐที่หัวใจไง พระที่บวชแล้ว พระที่บวชแล้วขวนขวายของเรา หน้าที่การงานของพระ หน้าที่การงานของพระ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนารักษาหัวใจของตน
เวลาบวชพระบวชด้วยญัตติจตุตถกรรม ด้วยธรรมและวินัย เวลาเราจะบวชหัวใจของเรา มันบวชพระมาแล้วก็มาทุกข์มายาก มาทุกข์มาเร่าร้อน โยมแสวงหามาก็แสวงหามาเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย พระเราเช้าบิณฑบาตด้วยปลีแข้ง
สิ่งที่แสวงหามา แสวงหามาเพื่อดำรงชีพ ดำรงชีพไว้ทำไม ดำรงชีพไว้เพื่อความอบอุ่นของหัวใจ ดำรงชีพไว้ให้ค้นคว้าหาสัจจะหาความจริงในใจของตน เวลาค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของตน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่ไหน รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็ในหัวใจของสัตว์โลกนั่นน่ะ หัวใจของสัตว์โลกมีมรรคมีผลขึ้นมาในใจของตน เวลาภาวนามยปัญญา ปัญญาที่รื้อที่ถอนที่ถอดถอนหัวใจของตน รื้อถอดถอนกิเลส สำรอกคายมันออกๆ
เวลากิเลสๆ ว่าเราใช้ความคิดเป็นสัญญาอารมณ์ เราก็ใช้สัญญาอารมณ์ แล้วบอกว่า เราเป็นคนดี เรารู้จักมีมารยาทสังคม เราเป็นคนจิตใจกว้างขวาง
กว้างขวางก็ตายไง คับแคบก็ตายไง ทุกคนก็ตายหมด เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะทั้งหมด แล้วถ้าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ทำไมถึงไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันต้องมีที่มาที่ไปสิ
เวลาเกิดมา เกิดมาจากไหน เกิดมาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่พ่อแม่ก็มีเวรมีกรรม เราก็มีเวรมีกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เห็นไหม
ลูกที่ดี อภิชาตบุตร บุตรที่ดีส่งเสริมยกย่องเชิดชูชาติตระกูลนั้นให้งอกงามขึ้นมา บุตรที่เกิดมาแล้วมีผลกระทบกระเทือนกัน นั่นน่ะเพราะว่ากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไง จริตนิสัยของคนไง
เวลาลูกเกิดมา ลูกเกิดมามันมีบุญมีกรรมต่อกัน อันนั้นเราจะรู้จะเห็นได้ไม่ได้ก็แล้วแต่ แต่ในชาติปัจจุบันนี้ก็เป็นลูกของเราใช่ไหม แต่สัจธรรมนี้มันเป็นการยืนยันไง ทำไมเป็นอย่างนั้นๆ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธศาสนามันเป็นยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ มันมีที่มาที่ไปของมันทั้งนั้นน่ะ มันไม่ลอยมาจากฟ้าหรอก ไม่มีอะไรลอยมาจากฟ้า มันต้องมีเหตุมีปัจจัย มีการกระทำ มันถึงเป็นมาอย่างนี้ แล้วถ้ามันเป็นอย่างนี้ขึ้นมาแล้วมันทำต่อไปอย่างไร ทำต่อไปนะ ถ้าคนมีสติปัญญา เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนอย่างไร
เราเกิดมาปากกัดตีนถีบ เราเป็นคนที่ด้อยโอกาส เราไม่มีสิ่งใดๆ เลย แต่เราก็มีชีวิต คนที่เขามีโอกาสของเขามหาศาล เขาทำอะไรประสบความสำเร็จของเขา นั่นคือโอกาสที่ดีงามของเขา แต่เขาไม่ทำ เขาไม่สนใจ ก็เท่านั้น
แต่ถ้าเราสนใจของเราล่ะ ถ้าเราสนใจของเรา เราแสวงหาของเรา เราขวนขวายของเรา นี่ไง สิ่งที่มีค่าๆ มีค่าที่นี่ไง เกิดมาถ้ามันปากกัดตีนถีบขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่เรามีใจอยากกระทำ เราสงวนเวลาของเรา
ทางของคฤหัสถ์เป็นทางที่คับแคบ เราต้องมีหน้าที่การงาน เราต้องมีความรับผิดชอบ เราต้องดูแลรักษา กว่าจะได้ภาวนา ตี ๒ พรุ่งนี้เช้าทำงานอีกแล้ว
แต่พระนี่ทางที่กว้างขวางมาก โดยธรรมชาติของเรานะ เราอยู่กับครูบาอาจารย์มาก่อน ท่านสอนว่า หัวหน้าเป็นหัวรถจักร หัวรถจักรต้องรับผิดชอบทั้งหมด เราฝึกหัดลูกศิษย์ลูกหา ๒๔ ชั่วโมงนะ ถ้าฉันเสร็จแล้ว โดยธรรมดาภาวนาได้เลย ตลอดจนพรุ่งนี้เช้าออกบิณฑบาต พระเรานี่ทางกว้างขวางมาก แต่กว้างขวางขึ้นมา ถ้ามีสติปัญญา เห็นไหม
คนที่ทำงาน คนที่ทำงานประสบความสำเร็จ ธุรกิจของเราเจริญรุ่งเรือง อู้ฮู! มันอยากทำๆๆ ถ้าธุรกิจของเราจะล้มเหลวนะ มันปฏิเสธๆๆ มันอยากวิ่งหนี
พระเวลาที่ปฏิบัติได้เป็นสัมมาสมาธิมีสติปัญญาขึ้นมา เหมือนธุรกิจที่มันประสบความสำเร็จ มันจะหยิบมันจะฉวยมรรคผลนิพพานเลยนะ มรรคผลนิพพานจะจับเมื่อไหร่ก็ได้ เวลาปฏิบัติอย่างนี้ โอ้โฮ! มันชื่นชม มันมีสติปัญญา มันมีความสุขของมันไง
เวลาจิตของคนมันเสื่อม จิตของคนเวลาเสื่อมมันท้อแท้ถดถอย โอ๋ย! มันทุกข์มันยากๆ
เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาจิตของคน ทั้งชีวิตของเราไม่เคยประสบความล้มเหลวเลยหรือ ชีวิตของเรานี่ ชีวิตของคนทุกคนมันประสบความสำเร็จ มันพูดถึงความล้มเหลว จิตของคนมันยิ่งกว่านั้นอีก เพราะจิตของคนเป็นยิ่งกว่านั้นเพราะอะไร
เพราะบุพเพนิวาสานุสติญาณ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย มันได้ทำสิ่งใดมาขนาดไหน นี่ไง กรรมเป็นอจินไตย อจินไตยเพราะอะไร อจินไตยเพราะมันซับซ้อนมาก มันซับซ้อนจนไม่รู้ว่าเราทำมาตั้งแต่ภพใดชาติใด
แต่ในปัจจุบันนี้เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนามากๆ เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในประเทศที่พระพุทธศาสนา ผู้เฒ่าผู้แก่ของเราให้นับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ศาสนาประจำชาติ พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอิสรภาพ ภราดรภาพ ความเสมอภาค
เสมอภาคเอาไว้ในตำรา เอาไว้ในพระไตรปิฎก แต่กูจะเหยียบย่ำมัน กูจะเอาชนะมัน...ไร้สาระมากเลย
คุมใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่ปฏิบัติ คนที่มีอำนาจวาสนาบารมีนะ เวลามองไปมันสังเวช จิตหนึ่งมีค่าเท่ากันทั้งนั้นน่ะ เพียงแต่คนโง่ฉลาดแตกต่างกัน การแตกต่างกันนั้นก็เพราะการกระทำของเขา ชาตินี้เขาจะโง่ก็ได้ ชาติต่อไปเขาจะฉลาดก็ได้
ในสมัยพุทธกาลนะ จูฬปันถกๆ เวลาพี่ชายมาบวช เขาเป็นลูกกำพร้าไปอยู่กับปู่ เวลาปู่ขึ้นมา พี่ชายไปบวชเป็นพระอรหันต์ ไปเอาน้องชายมาบวชไง พอน้องชายมาบวชขึ้นมา พี่ชายเป็นพระอรหันต์นะ เวลาบวชแล้วก็สอนให้น้องท่องบาลีข้อหนึ่ง ท่องไม่ได้ ท่องอย่างไรก็ท่องไม่ได้ จนพี่ชายบอกให้ไปสึกเสีย
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปดักรอเลย เพราะเขามีอำนาจวาสนาของเขา นี่เวลาคนโง่ คนฉลาดไง
“จูฬปันถก เธอจะไปไหน”
“จะไปสึก”
“ทำไมถึงสึกล่ะ”
“พี่ชายไล่ให้ไปสึก”
“เธอบวชเพื่อใครล่ะ”
“บวชเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
“เธอไม่ต้องสึกนะ เธอบวชเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาผ้าขาวไปผืนหนึ่งแล้วให้ลูบผ้าขาว”
ลูบว่าขาวหนอๆ ภาษาบาลี ไปลูบอยู่นั่นน่ะๆ
เพราะมันคนมีบุญมีกุศลนะ แต่ถึงเวลาแล้วสมองมันทึบ แต่เวลาไปลูบผ้าขาวมันชัดเจนไง ผ้าขาวลูบตลอดเวลามันก็เริ่มเศร้าหมอง เริ่มเศร้าหมอง มันมีสติปัญญาเกิดขึ้น มีสติปัญญาเกิดขึ้นมันสังเวชไง หลุดพ้น เป็นพระอรหันต์น่ะ
พระสงสัยมาก ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมเป็นอย่างนั้น ท่องบาลีข้อหนึ่งยังท่องไม่ได้เลย
เขาเคยดูถูกไง เขาเคยบวชเป็นพระฉลาดปราดเปรื่องมาก แต่พระเราเวลาบวชมาแล้วจะท่องปาฏิโมกข์ มีพระท่องปาฏิโมกข์อยู่ แล้วท่องผิดท่องถูก คนท่องหนังสือใหม่ๆ ก็มีผิดมีถูกทั้งนั้นน่ะ ไปหัวเราะเขาไง จนเขาอาย เขาเลิกท่องปาฏิโมกข์ไปเลย เลิกทำความดีไปเลย นี่กรรมอันนั้นน่ะ เห็นคนแล้วไปดูถูกเขาว่าสมองทึบ ฉันนี่ปราดเปรื่อง ไปเกิดชาติใหม่นะ สมองทึบกว่าเขาอีก
แต่เขามีอำนาจวาสนาของเขานะ เขาเคยเกิดเป็นราชา แล้วเวลาคนจะออกรบเขาตรวจพลสวนสนามไง เวลาสวนสนาม รถม้าสมัยโบราณน่ะ แล้วเกิดตายไปๆ เขาตรวจพลแล้วเขาเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าของเขา โอ๋ย! มันเลอะฝุ่นไง นี่เป็นกรรมฐานที่ฝังใจมา
นี่อนาคตังสญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริตนิสัย จริตนิสัยที่เขาสร้างของเขามา เขาได้สร้างของเขามา เขาฝังมาในใจของเขา แต่ไม่มีใครรู้ได้
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแก้ไง ให้ลูบผ้าขาวนะ ให้ลูบผ้าขาวนั้น ขาวหนอๆ แล้วมันจะขาวไหมล่ะ ขี้เหงื่อขี้ไคลมันลงไปมันจะขาวไหม แล้วถ้ามันไม่ขาวขึ้นมา มันแทง มันแทงเข้าไปในหัวใจ
ก็ผ้าขาวๆ ทำไมมันสกปรกได้ มันสกปรกได้เพราะมือของเรา โอ้โฮ! ร่างกายของเรา สิ่งปฏิกูลในร่างกายของเรามันสกปรกโสโครกขนาดนี้เชียวหรือ แต่มันติดขัดไง มันเคยผูกมัดในหัวใจมาตลอดไง เวลามันถอดมันถอนนะ เวลามันถอดมันถอนมันต้องถอดถอนในหัวใจด้วยปัญญาในใจดวงนั้น
ใจดวงใดก็แล้วแต่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะได้สร้างบุญสร้างกุศลของจิตดวงนั้นมาแตกต่างกันไป จริตนิสัยๆ จริตนิสัยที่สร้างมา แต่สร้างมาแล้วมันต้องทำให้ชัดเจนอย่างนั้น แล้วเข้มแข็งอย่างนั้น แล้วทำให้ถึงใจอย่างนั้นนะ มันจะเข้าไปสู่ใจของตน
นี่ไง ที่เรามาทำบุญๆ กันอยู่นี่ ทำบุญกันอยู่นี่ ทำเดี๋ยวนี้ก็ได้เดี๋ยวนี้ แต่มันฝังในหัวใจนั้นไป พอฝังในหัวใจนั้นไป มันจะให้ผลเมื่อไหร่ๆ ไง
นี่ก็เหมือนกัน พอทำบุญแล้ว ทำบุญด้วยความอบอุ่นความสงบสุขนะ แล้วมันจะได้อะไร อยากได้อะไร อยากได้ตัณหาความทะยานอยาก ทำบุญโดยทิ้งเหวๆ ทำบุญแล้วคือจบ ปฏิคาหก
สิ่งที่เราได้มา ได้มาด้วยความสะอาดรอบคอบ ได้มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ได้มาด้วยความถูกต้องดีงาม เวลาถวาย ถวายด้วยหัวใจที่ดีงาม เวลาถวายแล้ว พระรับแล้วพระใช้ประโยชน์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ปฏิคาหก นี่บุญยิ่งใหญ่ จะเอาบุญอะไร
“โอ๋ย! ทำบุญแล้วจะได้รางวัลที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม”
บุญส่วนบุญ สิ่งนั้นมันได้สร้างสมของเขามา แต่ในปัจจุบันนี้เราทำเพื่อละความตึงเครียด ละความเครียด ละความกดดัน ละสิ่งต่างๆ ในหัวใจนี้ นี่คือบุญ
แล้วบุญมันสะสมไปๆ คุณงามความดีของเรา บุญคือความดีของเรา เราทำบุญกุศลของเรามันสะสมไปเรื่อยๆ มันได้มาตลอดเวลา มันเพิ่มพูนมาตลอดเวลา แล้วทำๆ ทำจนมันมั่นคงของมัน มันรับฟังใครก็ได้
คนทำบุญที่เขามีหลักมีเกณฑ์ของเขานะ ใครจะติฉินนินทามันเรื่องของเขา โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สิ่งนี้มีของประจำโลก เขาจะว่าก็เรื่องของเขา แต่ไม่จริง เพราะเรารู้ของเราเอง เราเป็นคนทำเอง ความลับไม่มีในโลก
มือเราสกปรกโสโครกเราก็ได้กลิ่นเหม็น มือเราสะอาดบริสุทธิ์เราก็ได้กลิ่นหอม มือเราไม่มีบาดแผล ทำอะไรก็ได้ มือเรามีบาดแผลสิ่งใดแล้วมันเจ็บแสบของมัน
ใจของเรา เรารู้ของเรา ความลับไม่มีในโลกหรอก ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เรื่องที่สิ่งที่เขาติฉินนินทานั่นเป็นเรื่องกระแสโลก กระแสโลกก็เป็นเรื่องโลก กระแสธรรมเป็นเรื่องธรรม แล้วธรรมอยู่ไหนล่ะ
ธรรมอยู่ในตู้พระไตรปิฎก ธรรมอยู่ที่หลวงพ่อ หลวงพ่อกำลังพูดนี่เป็นธรรม แล้วความคิดเอ็งไม่เป็นธรรมหรือ
สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เขาไปอินเดียกันนะ ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แล้วพุทธะในใจของเอ็งนี้ล่ะ พระพุทธเจ้าเป็นๆ ในกลางหัวอกนี้ล่ะ เอ็งทอดทิ้งได้หรือ เอ็งทอดทิ้งพุทธะในใจของเอ็งแล้วเอ็งจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อินเดีย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว เขาฝากพุทธะไว้กลางหัวใจของชาวพุทธ แล้วชาวพุทธก็หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ เวลาเข้าไปถึงพุทธะนะ ไปถึงสัมมาสมาธิ ถึงจิตตั้งมั่น โอ้โฮ! ใครทำสมาธิได้จะซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา
เพราะทำสมาธิได้ถ้าไม่มีศีล สมาธิ ปัญญาต่อเนื่องไป สมาธิก็คือสมาธิไง ฤๅษีชีไพรก็ทำได้ พวกหมอดูทำเก่งด้วย เพราะคาดคะเนมันทำได้มากกว่า เพราะความชำนาญของเขา
แต่เราเป็นชาวพุทธนะ ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิจะแยกแยะเข้าไปในใจของเราว่าอะไรมันทำให้เอ็งเกิด อะไรทำให้ตึงเครียด อะไรทำให้เอ็งทุกข์ยาก แล้วพิจารณาของมัน แยกแยะของมัน
กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ กิเลสมันแยกออกจากกันไป ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ถ้าเราไปยึดไปมั่นความคิดเรา เราก็เป็นทุกข์ไง
ความคิดก็เป็นความคิด ทุกข์ก็เป็นทุกข์ ตัณหาความทะยานอยากก็เป็นตัณหาความทะยานอยาก แล้วมันแยกออกไปได้อย่างไร มันแยกออกไปด้วยปัญญาที่เราแยกแยะของเรานี่ไง แล้วปัญญาอยู่ไหนล่ะ
มันต้องมีครูบาอาจารย์ เห็นไหม มาตรฐานของสัจธรรมนะ มันมีมาตรฐาน พอมีมาตรฐานแล้ว ในวงกรรมฐาน เวลาครูบาอาจารย์เราท่านสนทนาธรรม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เป็นมงคลในวงกรรมฐาน
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาครูบาอาจารย์เรา หลวงตาท่านสนทนาธรรมกับหลวงปู่ขาว หลวงตาได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่แหวน นี่คือการสนทนาธรรม นี่คือมาตรฐาน มาตรฐานของคุณธรรม
ไม่ใช่ลอยมาจากไหนก็ “ฉันสำเร็จ” สำเร็จอะไร สำเร็จอะไร สำเร็จอารมณ์มึงน่ะสิ ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันใช่ไหม
พระพุทธศาสนามีที่มาที่ไปหมดนะ ไม่มีสิ่งใดเป็นของฟรี ต้องขวนขวาย คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะที่กระทำด้วยสัมมาทิฏฐิถูกต้องดีงาม ชอบธรรมตามความเป็นจริง เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในหัวใจ เพราะหัวใจมันรู้
เราสงสัย มีคนยกย่องไปหมดเลย “ฉันเป็นพระอรหันต์ๆ” แต่เราทุกข์เกือบตาย “ฉันมีคุณงามความดีๆ” แต่มันเศร้าหมองในใจ เห็นไหม ปัจจัตตังไง เรารู้ เรารู้เราเห็นชัดเจน สิ่งนี้เป็นสัจจะความจริง แล้วครูบาอาจารย์ท่านตรวจสอบกัน ท่านสนทนาธรรมกันชัดเจนมาก
ธรรมะมีมาตรฐาน มรรค ๔ ผล ๔ มีคุณธรรมตามความเป็นจริง แล้วคนที่มีคุณธรรมในหัวใจจะมีความสุขเพราะมันเป็นวิมุตติสุข มันเป็นองค์ของคุณธรรม คุณธรรมที่ในใจของเรา
ใจของเรามันบีบคั้น มันทุกข์ขนาดนี้ แล้วลองคิดเปรียบเทียบสิ คนที่เขาปล่อยวางที่เขามีความสุขจริง เขาจะมีความสุขอย่างไร เขาต้องไปเที่ยวรอบโลกไหม เขาต้องไปบ้าบอคอแตกไหม
เขาอยู่ในถ้ำเขาก็มีความสุข อยู่โคนไม้ก็มีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข เพราะมันสุขจากหัวใจ เอวัง